ฝากการบ้าน”ผบ.ตร.”คนใหม่
ลุย”ปราบยา-แก๊งคอลเซ็นเตอร์”
กวาดบ้าน-จัดหนักตำรวจนอกลู่
   
       


ฝุ่นจางที่พรรคเพื่อไทยหลังรัฐบาล เศรษฐา 1 ลงตัว แต่มาตลบที่สำนักปทุมวัน กระจายไปถึงรัฐสภาเพราะอยากปิดปากปมตั๋วช้างแล้วคงกระจายไปที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ฟุ้งต่อไปถึงทำเนียบรัฐบาลแน่นอน
       
สาเหตุเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)อ้างหลักธรรมาภิบาล สั่งถอนวาระตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)คนใหม่
     
จึงไม่แน่ใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ อ้างธรรมาภิบาลหรือไขสือหรือไม่อยากขัดแย้งกับใคร เลยปล่อยผ่านให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ดำเนินการ เสมือนโยนเผือกร้อนใส่มือ เพราะถ้าตั้ง รอง ผบ.ตร.อาวุโสลำดับสุดท้ายโดยอ้างตั๋วช้าง ต้องโดน ส.ส.ก้าวไกลชำแหละในสภาฯแน่นอน 
     
แต่ทั้งนี้ไม่ว่าผบ.ตร.คนใหม่จะเป็นใคร อยากฝากการบ้าน 2 ข้อหลักคือ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์  เพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทุกหย่อมหญ้าและสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจปีละนับแสนล้าน เชื่อว่าถ้า 2 ปัญหานี้จัดการได้บรรลุเป้าอาชญากรรมรูปแบบอื่นก็จะลดตามไปด้วย
 

แต่ก่อนที่ ผบ.ตร.คนใหม่ จะเริ่มปฏิบัติการจัดหนักกับเหล่าอาชญากร อยากให้จัดการกวาดบ้านจัดแถวบุคคลากรให้อยู่ในลู่ในทางเสียก่อน เพราะเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ชาวบ้านว่ายาเสพติดที่ระบาดหนักเพราะตำรวจรู้เห็นเป็นใจ แม้แต่ตำรวจด้วยกันเองอยากจับแต่กลัวผู้บังคับบัญชาตำหนิ
 

ตำรวจชั้นประทวนนายหนึ่งเล่าว่าเคยจับกุมพ่อค้ายารายย่อยในพื้นที่ พอนำส่งพนักงานสอบสวนก็ถูกรองผู้กำกับการ(รองผกก.)เรียกไปตำหนิว่า จับไม่ดูตาม้าตาเรือนี่สายพวกกูในที่สุดต้องปล่อย จากนั้นผมก็วางเฉย
       

ฟากของคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ไม่น้อยหน้า เหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายหนึ่งเล่าว่า มีเพจเชิญชวนให้ลงทุนเห็นโปรไฟล์น่าเชื่อถือมีภาพบริษัทดังชวนให้ลงทุน จึงกดเข้าร่วม จากนั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาชักชวนเกลี้ยกล่อมให้ลงทุนต่อเพื่อจะได้เงินที่ลงทุนไปแล้วคืน สุดท้ายก็สูญเงินไปกว่า 7 แสนบาท

เธอเล่าว่าไปแจ้งความที่โรงพักแห่งหนึ่งใน จว.นนทบุรี ตำรวจก็แนะนำให้ไปแจ้งที่ตำรวจไซเบอร์ด้วย แต่คดีไม่คืบหน้า เธอจึงลุยสืบหาข้อมูลเองจนได้ชื่อและที่อยู่ของคนร้ายที่คุยกับเธอ กระทั่งไปนำสู่การออกหมายจับ
   

ทางตำรวจแจ้งว่าจะส่งหมายจับไปตามด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ แต่เธอไม่ละความพยายามเพราะเห็นตำรวจนิ่งเฉย เวลาผ่านมาเกือบปี เธอรู้ความเคลื่อนไหวของคนร้ายตลอดเพราะบุกไปถึงบ้านและทราบว่าเข้าออกไทยเขมรหลายรอบแต่ตำรวจไม่จับกุม
   
กระทั่งทราบว่าคนร้ายเข้าไทยอีกจึงประสานไปที่ตำรวจไซเบอร์ที่รับปากว่าจะส่งหมายจับไปที่ด่านฯ ทางตำรวจบอกว่ายังไม่ส่ง เธอขอให้รีบส่งกระทั่งนำไปสู่การจับกุม
   
เมื่อนำตัวผู้ต้องหามาที่โรงพักช่วงค่ำ เธอก็โทรศัพท์หาผู้ใหญ่ที่นับถือขอให้ช่วยประสานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ช่วยกำชับด้วยเพราะไม่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม
 
กระทั่งรุ่งเช้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ก็ส่งลูกน้องมาประสานเก็บข้อมูล จังหวะเดียวกับตำรวจไซเบอร์ 2 นายมาพร้อมกับทนายความคนร้าย เชิญเธอไปเจรจาโดยตำรวจไซเบอร์และตำรวจโรงพักเจ้าของคดีให้ทนายความคนร้ายเจรจาชดใช้ให้ 50,000 บาทแลกกับการปล่อยตัว เธอไม่ยอมการเจรจายุติ
 
ตำรวจไซเบอร์เชิญไปเกลี้ยกล่อมให้ยอมรับเงินตามที่ทนายฯคุยและยอมให้ประกันตัว โดยอ้างว่าจะให้คนร้ายกลับไปเขมรส่งข้อมูลกลับมาเพื่อจะได้จับกุมยกแก๊ง เธอถามกลับไปว่ามีหลักประกันอะไรว่าคนร้ายจะส่งข้อมูลให้ก็ไร้เสียงตอบ
 
จากนั้นมีการเจรจาอีกรอบคราวนี้ตำรวจเจ้าของคดีตำรวจไซเบอร์ออกโรงเอง เจรจาให้รับเงิน 50,000 บาทและยอมให้ประกันตัว ถ้าไม่ยอมรับเงื่อนไขก็จะไม่ได้อะไรเลย แถมอ้างว่าเธอไม่มีสิทธิ์ค้านการประตัวเพราะเป็นอำนาจผกก.และ ผกก.พร้อมที่จะให้ประกันอยู่แล้ว
 
เธอจึงโทรศัพท์ประสานกับผู้ใหญ่ที่นับถือ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นและขอให้ถามบิ๊กตำรวจว่าทำไม ผกก.ให้ประกัน ทั้งที่เธอคัดค้าน บิ๊กตำรวจจึงโทรฯไปหาผกก.ถามว่าทำไมให้ประกัน ผกก.บอกว่าไม่มี พอวางหูจากบิ๊กตำรวจ ผกก.และตำรวจเจ้าของคดีเรียกเธอไปตำหนิว่าทำไมต้องฟ้องผู้ใหญ่ แถมขู่ว่าถ้าเขาไปประกันชั้นศาลพนักงานสอบสวนจะไม่คัดค้าน
 
แต่เธอไม่ยอมบอกว่าจะลุยให้ถึงที่สุด ตำรวจเจ้าของคดี ยอมตามคนร้ายก็ยังอยู่ในคุกและอยู่ในขั้นตอนสู้คดีในชั้นศาลเธอเล่าอีกว่าตลอดเวลาที่จรจาตำรวจไซเบอร์ มีทีท่าจะเข้าข้างคนร้ายและทนายความตลอดเวลา เกลี้ยกล่อมเธอให้ยินยอม เมื่อเธอไม่ยินยอมก็แสดงอาการไม่พอใจ จนทำให้เธอรู้สึกว่าตำรวจไซเบอร์คงมีเอี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือเป็นหน้าเสื่อคอยเคลียร์ให้
   

นี่คือตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เหิมเกริมต้มตุ่นชาวบ้านไปทั่ว ยิ่งบวกกับข้อมูลที่นินทากันว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกตำรวจทั้งฝั่งไทยและเขมรจับส่งให้กัน เพราะส่วยส่งไม่เต็มคาลาเบลใช่หรือไม่?

การบ้านสองข้อนี้ถ้า ผบ.ตร.คนใหม่ วางแผนจัดการให้ราบคาบก็เป็นบุญของชาวบ้าน แต่ก่อนออกศึกก็ต้องจัดแถวปัดกวาดบ้านให้สะอาดก่อน แต่อย่ากวาดไว้ใต้พรมเพราะปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไขที่แท้จริง ซ้ำร้ายใต้พรหมอาจจะกลายเป็นแหล่งที่หาประโยชน์ได้อย่างเอกอุก็เป็นได้ !!!

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img