ลุ้นตั้ง”ผบ.ตร.”ในอุ้งมือ”บิ๊กตู่หรือรบ.ใหม่”
ห้วงเวลานี้คนทั้งประเทศต่างลุ้นกันระทึกว่านายกรัฐมนตรี ที่รัฐสภาโหวตให้ผ่านจะเป็นใครและโฉมหน้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)จะออกมาแบบยี้หรือว้าว
ต่างกับชาวสีกากีที่ต้องลุ้นถึงสามจังหวะคือลุ้นว่าที่นายกรัฐมนตรีแล้วก็ยังลุ้นผู้นำโดยตรงว่าจะได้แบบไหนระหว่าง “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ไม่เจ้าอารมณ์” กับบุคลิกที่ตรงกันข้าม และลุ้นต่อว่าระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)อะไรจะมาก่อน
แต่ถ้าดูจากไทม์ไลน์ทางรัฐสภาแจ้งโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 4 สิงหาคม ก็จะได้นายกรัฐมนตรีก่อน แต่ถ้าโหวตไม่ผ่านอีกน่าจะได้ ผบ.ตร.ก่อน
เพราะตามไทม์ไลน์ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งหัวโต๊ะลงมติเห็นชอบกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ระบุว่าตำแหน่งระดับ รองผบ.ตร.-ผู้บังคับการ(ผบก.)แต่งตั้งให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคมนี้
นั่นก็หมายความว่าตำแหน่ง ผบ.ตร.ต้องแล้วเสร็จก่อนแต่งตั้งรองผบ.ตร.-ผบก.อำนาจการแต่งตั้งก็จะตกอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้าทำนองที่ว่าคนทำไม่ได้ใช้คนใช้ไม่ได้ทำ
“แต่ทั้งนี้หากว่าได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเพื่อไทยก่อน โอกาสที่จะขยายเวลาแต่งตั้ง ผบ.ตร.-ผบก.ออกไปก็สูง”
เพราะในห้วงก่อนหาเสียงเลือกตั้งมีข่าวสะพัดว่า นายทักษิณ ได้หารือกับอดีตบิ๊กตำรวจ หลายคนที่สิงคโปร์ว่า”ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะต้องบริหารจัดการองค์กรตำรวจให้เข้ารูปเข้ารอย เพราะตลอดเวลาที่ตำรวจอยู่ในการกำกับของเผด็จการทหาร
ภาพลักษณ์ถูกฉุดให้ถดถอยไปถึงขั้นอัปลักษณ์ ผู้มีอำนาจที่กำกับดูแลก็ขาดความรอบรู้ในการพัฒนาปล่อยให้ร่างทรงที่เป็นตำรวจและเครือญาติ ใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบเกือบทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจัดซื้อจัดจ้างโครงการมูลค่านับร้อยล้านพ้นล้านก็ขาดความโปร่งใสขัดแย้งกันถึงขั้นร้องเรียนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ให้ตรวจสอบหลายคดี
“น่าอายที่สุดคือบริวารของผู้มีอำนาจทั้งอดีตบิ๊กตำรวจ เครือญาติ ผู้มีอำนาจในทำเนียบรัฐบาลบางคน รวมถึงร่างทรงที่อยู่ในเครื่องแบบ นำตำแหน่งไปเซ็งลี้”
อดีตบิ๊กตำรวจระบุอีกว่าประเด็นที่หารือและให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่ระบาดทุกหัวระแหงของประเทศ จะต้องเร่งจัดการ โดยดำเนินการไปพร้อมๆกับการจัดระเบียบองค์กรใหม่เพื่อสร้างเรียกขวัญกำลังใจของตำรวจกลับคืนคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือนก็จะแล้วเสร็จ
เมื่อส่องประเด็นหารือโดยเฉพาะปมจัดซื้อจัดจ้างส่อว่าทุจริตก็ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม กรณี ป.ป.ช.ชุดใหญ่มีมติเอกฉันท์ แจ้งข้อกล่าวหาเอื้อประโยชน์ให้เอกชนกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผบ.ตร.กับพวก 3 คน ในคดีโครงการจัดซื้อไบโอเมตริกซ์หรือการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 2,100 ล้านบาท จะเรียกทั้ง 4 คนไปชี้แจงข้อกล่าวหาก่อนพิจารณาอีกรอบ
ด้านขวัญกำลังใจถดถอยสุดขีด เพราะข่าวการลาออกก่อนเกษียณปรากฏให้เห็นอยู่เนื่องๆหลังการแต่งตั้งโยกย้ายเมื่อเปิดให้เออร์รี่ก็ยื่นกันจำนวนมาก โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจนครบาล อย่าง สน.พระโขนง รองผกก.(สอบสวน)เออร์รี่พร้อมกันถึง 4 นาย
ขณะที่การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่เป็นภัยร้ายหนักสุดของชาวบ้านก็ไร้ผล ยาเสพติดทุกชนิดหาซื้อได้ไม่ยากและราคาย่อมเยา อาทิ ยาบ้าขายเกลื่อนทุกชุมชน 5 เม็ด 100 บาท บางครั้งจัดโปรโมชั่นซื้อ 5 เม็ดแถม 1 เม็ด
“ซึ่งปัญหาดังกล่าวล้วนแต่มาจากการบริหารบุคคลที่ล้มเหลว เพราะผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจเต็มมือบางคน มักเอื้อประโยชน์กับนายตำรวจที่เดินเส้นทางสีเทา ตำแหน่งมีไว้เพื่อเซ็งลี้”
จึงไม่แปลกที่มีอดีตบิ๊กตำรวจน้ำดี บางกลุ่มทนเห็นสภาพความอัปลักษณ์ขององค์กรอันเป็นที่รักไม่ไหว รุดไปหารือกับนายทักษิณ อดีตตำรวจที่รักองค์กรตำรวจไม่ด้อยกว่าตำรวจคนอื่นๆ ว่าถ้าได้จัดตั้งรัฐบาลขอให้เร่งกอบกู้เกียรติของตำรวจที่ตกต่ำมากว่า 8 ปี ให้กลับมาดังเดิม
เมื่อมองบริบทโดยรวมแล้วบวกกับความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคเพื่อไทย การจัดทัพสีกากีในระดับผบ.ตร.-ผบก.น่าจะอยู่ในอุ้งมือของรัฐบาลใหม่
เพราะการจัดทัพครั้งนี้เพื่อรองรับภารกิจสำคัญคือการปราบปรามยาเสพติด อันเป็นผลงานโดดเด่นของนายทักษิณ ที่ชาวบ้านมิเคยลืมเลือน รวมถึงภารกิจจัดการกับภัยโจรไซเบอร์ที่ระบาดหนัก และภัยอาชญากรรมรูปแบบอื่นๆ
เพื่อรับมือกับภัยเหล่านี้ให้บรรลุเป้าต้องคัดเลือกบุคลากรให้เข้ากับงาน ไม่ใช่แค่สร้างภาพให้ดูดีแต่เมื่อถึงจุดจบของเนื้องานมีแต่ความล้มเหลว องค์กรถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ดังนั้นคงต้องลุ้นด้วยความระทึกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะชิงจัดทัพ”ผบ.ตร.-ผบก.”หรือจะปล่อยมือให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการ
ชาวสีกากีที่ถนัดวิ่งเต้นมากกว่าทำงานในหน้าที่ เช็คเส้นสายได้แล้วว่าจะไปทางไหนหรือจะแทงกั๊กวิ่งทั้งสองทางเชิญตามสะดวก !!!