สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนทั่วประเทศ ผ่านโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together) เผยผลงานในรอบ 3 ไตรมาส เร่งรัดช่วยเหลือประชาชนเสร็จสิ้นแล้ว กว่า 1.8 หมื่นเรื่อง
พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together) ที่มุ่งการบูรณาการความร่วมมือของส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนทุกภาคส่วน รวมพลังกันเพื่อทำนุบำรุงสถาบันหลักของชาติ ได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกมิติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ได้นำนโยบายมาสู่การปฏิบัติ โดยดำเนินโครงการ “สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)” โดยมีเป้าหมาย “เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอและแก้ไขปัญหา ชุมชน สังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืน” โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ขับเคลื่อนโครงการฯ
โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 – 2565 ที่ผ่านมา มีการอบรมเครือข่ายประชาชนไปแล้ว 371,063 คน และในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ได้มีการอบรมเครือข่ายประชาชนที่เป็นผู้นำและผู้มีบทบาทในสังคมทุกสาขาอาชีพ จาก 1,483 สถานีตำรวจทั่วประเทศ สถานีตำรวจละ 50 คน รวม 74,349 คน ทำให้ปัจจุบันมีเครือข่ายประชาชนแล้วจำนวนทั้งสิ้น 445,412 คน โดยผลการปฏิบัติตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงปัจจุบัน ได้รับรายงานปัญหาที่ประชาชนเดือนร้อน จำนวน 18,435 เรื่อง และได้ติดตามขับเคลื่อนและเร่งรัดให้หน่วยดำเนินการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้นแล้ว 18,342 เรื่อง ได้แก่
- ปัญหาด้านสังคม เช่น ยาเสพติด การแข่งรถในทาง การลักลอบเข้าเมือง กลุ่มผู้มีอิทธิพล แหล่งอบายมุขและสถานบริการ ชุมชนแออัดและแหล่งเสื่อมโทรม หนี้นอกระบบ อาชญากรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์ ตลอดจนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การฉ้อโกงออนไลน์และแก๊งคอลเซนเตอร์ ฯลฯ จำนวน 13,755 เรื่อง โดยได้เร่งรัดประสานศูนย์ PCT และตำรวจไซเบอร์ใช้เทคโนโลยีและความร่วมมือจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ และระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในพื้นที่
- ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เช่น ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพสูง การว่างงาน ความยากจน ปัญหาหนี้สิน การขาดแคลนที่ทำกิน ฯลฯ จำนวน 463 เรื่อง
- ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การขาดแคลนแหล่งน้ำ มลภาวะทางอากาศ ฝุ่นควันโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งเสื่อมโทรมในชุมชน การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภัยแล้งและอุทกภัย ฯลฯ จำนวน 2,482 เรื่อง
- ปัญหาด้านความขัดแย้ง เช่น ความเห็นต่างทางการเมือง ศาสนาและเชื้อชาติ ข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อน การสร้างความเดือดร้อนรำคาญในรูปแบบต่างๆ ฯลฯ จำนวน 1,642 เรื่อง
และมีปัญหาที่อยู่ระหว่างหน่วยดำเนินการแก้ไข โดยได้สั่งการเร่งรัดและคาดว่าจะสามารถแก้ไขได้ จำนวน 93 เรื่อง ได้แก่ ปัญหาด้านสังคม 61 เรื่อง ปัญหาด้านเศรษฐกิจ 15 เรื่อง ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 14 เรื่อง ปัญหาด้านความขัดแย้ง 3 เรื่อง ตามลำดับ
โดยสามารถจำแนกผลการดำเนินการของหน่วยที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ดังนี้ บช.น. แก้ไขได้ 1,712 เรื่อง คิดเป็น 99.5%, ภ.1 จำนวน 1,685 เรื่อง (99.9%), ภ.2 จำนวน 1,333 เรื่อง (100%), ภ.3 จำนวน 2,685 เรื่อง (100%), ภ.4 จำนวน 3,605 เรื่อง (98.8%), ภ.5 จำนวน 1,868 เรื่อง (99.9%), ภ.6 จำนวน 2,738 เรื่อง (99.7%), ภ.7 จำนวน 852 เรื่อง (99.9%), ภ.8 จำนวน 901 เรื่อง (99.4%) และ ภ.9 จำนวน 963 เรื่อง (94%)
โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการประชุมเพื่อขับเคลื่อนและติดตามผลการปฏิบัติกับหน่วย บช.น., ภ.1 – 9 และ สถานีตำรวจ 1,483 สถานีทั่วประเทศ เพื่อสรุปผลการปฏิบัติประจำเดือนในทุกเดือน และลงพื้นที่เพื่อประชุมขับเคลื่อนและตรวจติดตามผล ตลอดจนให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องร่วมกับหัวหน้าสถานีตำรวจและตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ พร้อมลงพื้นที่พบปะเยี่ยมเยียนเครือข่ายภาคประชาชนและมอบสิ่งของให้กับประชาชนที่ได้รับการช่วยเหลือตามโครงการฯ รับฟังความคิดเห็นและรับทราบสภาพปัญหาและความต้องการ
พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดชุมชนสัมพันธ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ประสานงานเครือข่ายของทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ ให้เร่งประสานงานกับเครือข่ายภาคประชาชนที่ได้รับการคัดเลือกให้สะท้อนสภาพปัญหาและความต้องการของชุมชนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อประสานหน่วยงานผู้รับผิดชอบ เข้าช่วยเหลือและทำการแก้ไข พร้อมทั้งเร่งรัดการแก้ไขปัญหาที่ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการของคณะกรรมการในแต่ละระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น อำเภอ และจังหวัดให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ให้ผู้บังคับบัญชาลงไปขับเคลื่อนและกำกับสถานีตำรวจในความรับผิดชอบให้เกิดผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรมในภาพรวม โดยในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะมีสภาพปัญหาและความต้องการมากหรือน้อย เครือข่ายภาคประชาชนจะทำหน้าที่แทนตำรวจ ในการเสนอปัญหาให้ทราบ และเป็นหน้าที่ของตำรวจแก้ไข หรือประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ประชาชนก็จะคลายความเดือดร้อน
พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการดำเนินโครงการดังกล่าว จะประสบผลสำเร็จ เสริมสร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ แก้ไขปัญหาความต้องการและความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อให้ชุมชนสังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ดังนั้นสถานีตำรวจและข้าราชการตำรวจทุกนายต้องดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องจริงจังให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนและสังคม มีความเชื่อถือ เชื่อมั่น ศรัทธา ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติสืบไป
#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ สื่อออนไลน์ ที่ยึดถือจรรยาบรรณครบถ้วน