เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 31 มกราคม 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมก.ตร.ซึ่งเป็นการประชุมผ่านระบบวีดีโอทางไกล มายังห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายหลังการประชุม พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึง วาระการประชุม ก.ตร. กรณีของ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ส่วนการมอบหมายหน้าที่เดินซึ่งเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.วิระชัย ในส่วนของหน้างานกิจการพิเศษ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.สำหรับศูนย์ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และศูนย์ปราบปรามเงินกู้นอกระบบ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบ.ตร.เป็นผู้รับผิดชอบ

ส่วนศูนย์นโยบายสำคัญเร่งด่วน มอบให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.เป็นผู้รับผิดชอบ แต่ในส่วนการมอบหมายหน้าที่ในขณะสำรองราชการ ซึ่งเป็นไปตาม กฎ ก.ตร.ตามข้อบังคับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยวิธีการในระหว่างข้าราชการตำรวจถูกสำรองราชการ โดยขณะนี้ทางฝ่ายอำนวยการ อยู่ระหว่างประมวลเรื่อง เพื่อนำเสนอผู้บังคับบัญชาในการพิจารณา เพื่อมอบหมายหน้าที่ที่เหมาะสม
สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นกับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สืบเนื่องมาจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร.ในขณะนั้น สำรองราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.2563 เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดวินัยร้ายแรง มีพฤติการณ์และการกระทำเข้าลักษณะมีเจตนาเปิดเผยความลับของทางราชการและฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งว่าด้วยการให้ข่าวสัมภาษณ์ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างร้ายแรง จนในที่สุดได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.
ต่อมา พล.ต.อ.วิระชัย ได้ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในขณะนั้น ต่อศาลปกครอง โดยเป็นจำเลยที่ 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำเลยที่ 2 คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เป็นจำเลยที่ 3 และนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 4 กรณีคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคําสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายกรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย สำรองราชการ

กระทั่งศาลปกครองมีคำสั่งเมื่อวันที่ 13 ก.ย.64 กรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา (ผบ.ตร.ในขณะนั้น) ออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย สำรองราชการ ไม่ใช่กรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้ล่าช้าไปจะเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะหรือสิทธิของบุคคลโดยไม่มีทางแก้ไข การสั่งจึงน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีเหตุอันสมควรที่จะทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 387/2563 ลงวันที่ 29 ก.ค.2563 ที่สั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย สำรองราชการ และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ให้ พล.ต.อ.วิระชัย พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งหลังจากคำสั่งทุเลาของศาลปกครองมีผลทำให้ พล.ต.อ.วิระชัย กลับมาดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.64 ที่ผ่านมา กระทั่งในวันที่ 21 ม.ค.65 ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยกเลิกการทุเลาของศาลปกครอง เป็นเหตุให้พล.ต.อ.วิระชัย ต้องกลับไปถูกสำรองราชการ อีกครั้ง จนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาออกมาอีกครั้ง
ส่วนตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ที่ทาง ก.ตร.ได้ของเปิดเป็นกรณีพิเศษ เพื่อแก้ปัญหาของ พล.ต.อ.วิระชัย ทาง ก.ตร. ยังคงให้เปิดตำแหน่งไว้ต่อไป จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด หรือจนกว่า พล.ต.อ.วิระชัย เกษียญ อายุราชการ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ก.ตร. จะมีการพิจารณากับตำแหน่งดังกล่าวอีกครั้ง ว่าจะดำเนินกาต่อไปอย่างไร

